วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

แนะผู้เเพ้น้ำผึ้ง เลี่ยงขนมที่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนผสม

 

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง  เตือนผู้ที่ประวัติแพ้น้ำผึ้งให้หลีกเลี่ยงขนมที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง เพราะอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนทารกอายุน้อยกว่า 1 ปีห้ามรับประทานน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนตามธรรมชาติ  ทำให้ทารกป่วยได้  พร้อมแนะวิธีป้องกันและปฏิบัติตนให้ถูกวิธี 

นายแพทย์สมศักดิ์  อรรฆศิลป์  อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า น้ำผึ้งเป็นสารประกอบซับซ้อน ที่ผึ้งสร้างขึ้นมาในรวงผึ้ง น้ำผึ้งมีส่วนประกอบจากหลายแหล่ง คือ

1.สารประกอบที่ผึ้งสร้างขึ้น เช่น สารคัดหลังจากต่อมน้ำลายและต่อมในคอหอยของผึ้ง ขี้ผึ้ง โพรโพลิส สารที่เกิดระหว่างผึ้งสร้างรวงผึ้ง

2.สารประกอบจากดอกไม้ที่ผึ้งไปตอมผสมเกสร เช่น น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ละอองเกสรดอกไม้  อาการแพ้น้ำผึ้งพบได้น้อย คาดว่าพบได้ประมาณ < 0.001% ของประชากร  อาการแพ้รุนแรง เช่น  anaphylaxis พบน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้นอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์  กล่าวเพิ่มเติมว่า น้ำผึ้งอาจเป็นส่วนผสมอยู่ในขนมต่าง ๆ เช่น ช็อคโกแลต ลูกอม เค้ก  ผู้ที่แพ้น้ำผึ้งอาจมีอาการแตกต่างกัน ตั้งแต่มีผื่นลมพิษเล็กน้อย จนถึงขั้นรุนแรง บางคนอาจมีประวัติแพ้น้ำผึ้งหรือขนมที่ผสมน้ำผึ้ง หลังจากรับประทานน้ำผึ้งหรือขนมผสมน้ำผึ้ง ภายใน 1 ชั่วโมงจะมีปากบวม แน่นหน้าอก เสียงแหบ คัดจมูก แล้วค่อยๆ มีผื่นลมพิษแดงคันทั้งตัวความดันโลหิตต่ำที่เป็นอาการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis  

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การรักษาอาการแพ้รุนแรง คือ ผู้ป่วยต้องรีบไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้าน แพทย์จะได้ฉีดยาแก้แพ้อย่างเร่งด่วน การป้องกัน คือ ห้ามรับประทานน้ำผึ้งและขนมที่ผสมน้ำผึ้ง  ก่อนรับประทานขนมที่ไม่เคยกินมาก่อน ต้องอ่านฉลากบนกล่องขนมว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งอยู่หรือไม่ 

นอกจากนี้ น้ำผึ้งอาจมีสปอร์ของแบคทีเรีย Clostridium botulinum ปนเปื้อนตามธรรมชาติ  ทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี มีสภาวะในทางเดินอาหารที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของ C.botulinum  ถ้าทารกกินน้ำผึ้งที่ปนเปื้อน C.botulinum เชื้ออาจเข้าไปเจริญเติบโตในทางเดินอาหารและสร้างท็อกซิน ทำให้เกิดโรคโบทูลิซึมในทารก (Infant botulism) จึงห้ามทารกรับประทานน้ำผึ้ง

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, กรมการแพทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น