วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2563

FOOD INFORMATION CENTER

 น้ำผึ้ง ดีต่อสุขภาพ

น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆบ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา

1. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และลดการอักเสบ
น้ำผึ้งถือว่าเป็นยารักษาแผลชั้นเลิศ โดยสามารถใช้แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ โดยให้ใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ยิ่งทาบ่อยยิ่งดี หรือถ้าเกิดถูกมีดบาดหรือมีบาดแผล หลังจากล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาดแล้ว ใช้น้ำผึ้งทาหรือจะใช้น้ำผึ้งผสมกับผงขมิ้นชัน คลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นแผล จะช่วยลดการอักเสบและช่วยให้แผลหายเร็ว เพราะทั้งน้ำผึ้งและขมิ้นชันนั้น มีสรรพคุณรักษาบาดแผล สมานเนื้อเยื่อและบำรุงผิว

2. รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา
ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

3. ต้านข้ออักเสบ
ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

4. แก้อาการท้องผูกและแก้ท้องเสีย
น้ำผึ้งเป็นทั้งยาระบายและแก้ท้องเสีย กล่าวคือถ้าเป็น
น้ำผึ้งเก่าคือน้ำผึ้งที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปจะช่วยแก้ท้องเสีย แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งใหม่ประเภทเพิ่งเก็บจากรังไม่นานจะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ก่อน 6 เดือน การใช้น้ำผึ้งแท้ประมาณ 1 ช้อนชา ผสมน้ำต้มสุก 3 ช้อนหรืออาจกินร่วมกับผักผลไม้ เช่น การกินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

5. แก้นอนไม่หลับ
น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อน ๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรืออาจใส่ในชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

6. บำรุงเลือด
เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

7. บรรเทาอาการไอ
ถ้าเป็นหวัดก็ให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำคั้นจากขิงแก่ บรรเทาอาการไอ
8. เป็นอาหารสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2563

FOOD INFORMATION CENTER

แนะ 8 วิธีกินอาหารคลีนถูกหลัก 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะคนรักสุขภาพ กินอาหารอาหารคลีนให้ถูกหลัก ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด และควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 กลุ่ม ในปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องกายของร่างกาย

นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การกินอาหารคลีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและคนที่รักสุขภาพ โดยอาหารคลีนนั้นเป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติ ลดการปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด ไม่ใส่สารเจือสี หรือสารปรุงแต่ง ไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสมากจนเกินไป เช่น เค็มจัด หวานจัด หรือ มันจัด โดยปรุงแต่งอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสมเน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น สุกพอดี ไม่ใส่เครื่องปรุงมากเกินไป และกินอาหารให้ครบ 5 กลุ่ม ในปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องกายของร่างกาย ไม่ใช่การเน้นกินผักแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ การเลือกกินอาหารคลีนที่ถูกวิธี ควรปฏิบัติดังนี้ 

1. จัดอาหารให้มีความสมดุล แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ

 2. กินอาหารเช้าทุกวัน หลังจากตื่นนอน 1 ชั่วโมง 

3. เลือกกินเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่ หรือพืชตระกูลถั่ว และอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท ในทุกมื้อ 

4. กินอาหารที่มีไขมันดีทุกวัน เช่น ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันสุขภาพชนิดอื่นๆ 

5. เลือกอาหารที่มีกากใยสูง วิตามิน และแร่ธาตุ จากผักสดและผลไม้ 

6. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอวันละ 2-3 ลิตร 

7. หลีกเลี่ยงอาหาร แปรรูปต่างๆ เช่น น้ำตาล ขนมปังขาว เส้นพาสต้า เป็นต้น

8. งดเครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือน้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

"หากเรากินอาหารคลีนควบคู่กับการออกกำลังกาย จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ และยังช่วยในการลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี ซึ่งจัดเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ดีโดยไม่ทำลายสุขภาพ” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: กรมอนามัย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563

FOOD INFORMATION CENTER

 กินอย่างไร ห่างไกลเหน็บชา

หลายคนคงเคยเกิดอาการ “เหน็บชา” โดยเฉพาะตามปลายมือหรือเท้า มีอาการยุบยิบหรือคล้ายเข็มเล็ก ๆ ทิ่มจำนวนมาก ซึ่งอาการนี้โดยทั่วไปแล้วเกิดได้ทั้งจากการกดทับเส้นประสาทส่วนปลายช่วงแขน ข้อมือ เท้าหรือข้อเท้า เกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือการขาดสารอาหารบางประเภทก็ได้ ซึ่งสาเหตุหลักที่ไม่รุนแรง มีดังนี้

·         การนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน ขาดการขยับเขยื้อนเป็นช่วงเวลาหนึ่ง

·         การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 12 ซึ่งมีสาเหตุที่ระบุได้ ซึ่งแก้ไขและป้องกันได้ไม่ยาก

สาเหตุของการเกิดอาการเหน็บชาจากการขาดวิตามินบี 1

ขาดการบริโภคแหล่งธัญพืชบางชนิด โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ถั่วต่าง ๆ ลูกเดือย ข้าวโพด เพราะวิตามินบี 1 จะอยู่ในส่วนของเปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งจะสูญหายไปหลังจากที่ขัดเมล็ดจนกลายเป็นข้าวขาว หรือผลิตภัณฑ์แป้งขัดขาว

สาเหตุของการเกิดอาการเหน็บชาจากการขาดวิตามินบี 12

เกิดความผิดปกติภายในกระเพาะอาหารที่สร้างสารช่วยดูดซึมวิตามิน B12 ทำให้วิตามินนี้ไม่สามารถดูดซึมได้ รวมทั้งผู้ที่มีการผ่าตัดลำไส้เล็กส่วนปลาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ดูดซึมวิตามิน B12

ผู้ที่รับประทานอาหารแบบมังสวิรัติแบบเคร่ง ที่ไม่ดื่มนม กินปลาหรือไข่เลย เนื่องจากวิตามินบี 12 พบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อสัตว์ 

หากมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรทำอย่างไร ?

กลุ่มที่มีความผิดปกติรุนแรงนั้น เช่น รายที่มีภาวะของการทำลายเส้นประสาทรอบนอกจากโรคบางชนิด เช่น ภาวะเบาหวาน โรคใด ๆ ที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองหรือไขสันหลังก็สามารถเกิดอาการเหน็บชาได้เช่นกัน ซึ่งหากมีอาการเหน็บชาร่วมกับอาการผิดปกติอื่นด้วย และมีระยะเวลาที่มีอาการยาวนานหรืออาการมีความรุนแรงจนไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันอย่างปกติได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียด และไม่ควรตัดสินใจซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเอง

เราจะป้องกันอาการเหน็บชาได้อย่างไร

1. เลือกรับประทานอาหารกลุ่มธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ลูกเดือย ข้าวฟ่าง งาต่าง ๆ เป็นประจำ เพื่อให้ได้รับวิตามินบี 1 เป็นประจำ

2. เลือกรับประทานอาหารจากเนื้อสัตว์เป็นปกติ แต่ให้ความสำคัญในการเลือกให้ไขมันไม่สูงเกินไป โดยตัดมันหรือหนังทิ้งออกไปก่อนนำมาปรุงอาหาร จะทำให้ได้รับวิตามินบี 12 เพียงพอ

3. สำหรับปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท ควรมีการวางแผนการออกกำลังกายให้ครบถ้วนเป็นประจำ และอาจปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเบื้องต้นได้ หากต้องการคำแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตนเอง

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก : เครือข่ายคนไทยไร้พุง, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ