วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ไมโครกรีน ทานน้อย แต่ได้ประโยชน์มาก

 

ไมโครกรีน คือต้นอ่อนของพืชผักชนิดต่าง ๆ ที่มีการงอกและยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จุดเด่นของไมโครกรีนที่แตกต่างจากผักทั่วไป คือมีปริมาณสารอาหารและสารพฤกษเคมีสูง

เชื่อหรือไม่ ทานต้นอ่อนบรอกโคลี 50 กรัม จะได้คุณค่าทางอาหารเท่ากับบรอกโคลีโตเต็มวัย 1 หัว ต้นอ่อนที่ว่าไม่ได้จำกัดเฉพาะทานตะวัน แต่ยังมีผักอีกหลายชนิดที่สามารถทานในรูปแบบต้นอ่อนได้เช่นกัน

"ไมโครกรีน" คือต้นอ่อนของพืชผักชนิดต่าง ๆ ที่มีการงอกและยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ โดยอาจเพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพร หรือธัญพืชต่าง ๆ จุดเด่นของไมโครกรีนที่แตกต่างจากผักทั่วไป คือแม้ไมโครกรีนจะเป็นผักขนาดจิ๋ว ต้นเล็ก ๆ แต่มีรายงานวิจัยพบว่า ไมโครกรีนมีปริมาณสารอาหารและสารพฤกษเคมีสูง เช่น ปริมาณวิตามินซี แคโรทีนอยด์ สารประกอบฟีนอล ปริมาณธาตุต่าง ๆ (Ca, Mg, Fe, Zn, Sn และ Mo) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารต้านมะเร็งสูงกว่าในผักโตเต็มวัยทั่วไป ด้วยคุณประโยชน์ที่ไม่ได้เล็กตามขนาด ส่งผลให้ไมโครกรีนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ผศ.ดร.ณัฐชัย พงษ์ประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) บางขุนเทียน กล่าวว่า แนวโน้มการบริโภคผักกำลังเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยทานผักต้นโตเต็มวัย ปัจจุบันคนเริ่มหันมาบริโภคไมโครกรีนหรือต้นอ่อนเพิ่มขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องทานผักในปริมาณมาก การบริโภคไมโครกรีนในอาหารแค่เพียงเล็กน้อย ก็จะได้รับคุณค่าของสารอาหารในปริมาณที่มากกว่าการบริโภคผักโตเต็มวัยทั่วไปได้ เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ทานได้ทุกเพศทุกวัย

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ชูผักพื้นบ้าน ปรุงเมนูต้านหนาว

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำเมนูเด็ด แกงขี้เหล็ก แกงยอดมะขาม อาหารรสเปรี้ยวอมขมจากผักพื้นบ้านตามฤดูกาล เพิ่มความอบอุ่นและเสริมภูมิคุ้มกันต้านโรคหวัด พร้อมแนะยึดหลักโภชนบัญญัติ 9 ประการ สร้างสุขภาพดีรับหน้าหนาว 

นายแพทย์สุวรรณชัย  วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการเลือกกินอาหารในช่วงหน้าหนาว ว่า ปัญหาสุขภาพที่มากับหน้าหนาวมักมีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายคือ ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง ประชาชนจึงควรกินอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย และเป็นอาหารที่ร้อนและปรุงสุกใหม่ ๆ เลือกทำเมนูอาหารจากผักพื้นบ้านตามฤดูกาลและหาได้ง่าย ในช่วงหน้าหนาว เช่น ดอกขี้เหล็ก พริกหนุ่ม/พริกหวาน ใบเหลียง กระเจี๊ยบ เพราะมีวิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต้านโรคหวัดและเน้นเมนูอาหารที่มีเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อนเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ เช่น แกงส้ม แกงป่า แกงขี้เหล็ก แกงเลียง แกงแค เป็นต้น แต่หากจะกินอาหารจำพวกอาหารทอดหรือกะทิ อาจทำได้โดยมีอาหารที่ใช้ไขมันในการประกอบอาหาร 1 รายการต่อมื้อ เช่น ไข่เจียวคู่กับแกงส้ม  ปลาทอดคู่กับแกงเลียง และควรกินอาหารร่วมกับผักสดอย่างน้อยมื้อละ 2 ทัพพี 

ทั้งนี้ อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลจะทำให้ผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบการย่อยอาหาร ผิวหนังแห้งแตกและคัน ประชาชนจึงควรเอาใจใส่ดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน กินอาหารตามหลักโภชนาการ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลดอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม และออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที นอนหลับให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับกับ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล” รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: กรมอนามัย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

แนะผู้เเพ้น้ำผึ้ง เลี่ยงขนมที่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนผสม

 

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง  เตือนผู้ที่ประวัติแพ้น้ำผึ้งให้หลีกเลี่ยงขนมที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง เพราะอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนทารกอายุน้อยกว่า 1 ปีห้ามรับประทานน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนตามธรรมชาติ  ทำให้ทารกป่วยได้  พร้อมแนะวิธีป้องกันและปฏิบัติตนให้ถูกวิธี 

นายแพทย์สมศักดิ์  อรรฆศิลป์  อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า น้ำผึ้งเป็นสารประกอบซับซ้อน ที่ผึ้งสร้างขึ้นมาในรวงผึ้ง น้ำผึ้งมีส่วนประกอบจากหลายแหล่ง คือ

1.สารประกอบที่ผึ้งสร้างขึ้น เช่น สารคัดหลังจากต่อมน้ำลายและต่อมในคอหอยของผึ้ง ขี้ผึ้ง โพรโพลิส สารที่เกิดระหว่างผึ้งสร้างรวงผึ้ง

2.สารประกอบจากดอกไม้ที่ผึ้งไปตอมผสมเกสร เช่น น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ละอองเกสรดอกไม้  อาการแพ้น้ำผึ้งพบได้น้อย คาดว่าพบได้ประมาณ < 0.001% ของประชากร  อาการแพ้รุนแรง เช่น  anaphylaxis พบน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้นอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์  กล่าวเพิ่มเติมว่า น้ำผึ้งอาจเป็นส่วนผสมอยู่ในขนมต่าง ๆ เช่น ช็อคโกแลต ลูกอม เค้ก  ผู้ที่แพ้น้ำผึ้งอาจมีอาการแตกต่างกัน ตั้งแต่มีผื่นลมพิษเล็กน้อย จนถึงขั้นรุนแรง บางคนอาจมีประวัติแพ้น้ำผึ้งหรือขนมที่ผสมน้ำผึ้ง หลังจากรับประทานน้ำผึ้งหรือขนมผสมน้ำผึ้ง ภายใน 1 ชั่วโมงจะมีปากบวม แน่นหน้าอก เสียงแหบ คัดจมูก แล้วค่อยๆ มีผื่นลมพิษแดงคันทั้งตัวความดันโลหิตต่ำที่เป็นอาการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis  

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การรักษาอาการแพ้รุนแรง คือ ผู้ป่วยต้องรีบไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้าน แพทย์จะได้ฉีดยาแก้แพ้อย่างเร่งด่วน การป้องกัน คือ ห้ามรับประทานน้ำผึ้งและขนมที่ผสมน้ำผึ้ง  ก่อนรับประทานขนมที่ไม่เคยกินมาก่อน ต้องอ่านฉลากบนกล่องขนมว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งอยู่หรือไม่ 

นอกจากนี้ น้ำผึ้งอาจมีสปอร์ของแบคทีเรีย Clostridium botulinum ปนเปื้อนตามธรรมชาติ  ทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี มีสภาวะในทางเดินอาหารที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของ C.botulinum  ถ้าทารกกินน้ำผึ้งที่ปนเปื้อน C.botulinum เชื้ออาจเข้าไปเจริญเติบโตในทางเดินอาหารและสร้างท็อกซิน ทำให้เกิดโรคโบทูลิซึมในทารก (Infant botulism) จึงห้ามทารกรับประทานน้ำผึ้ง

ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, กรมการแพทย์