ในช่วงนี้พบว่าคนกรุงเทพฯ
และเขตปริมณฑลประสบภาวะน้ำประปาเค็ม เกินมาตรฐาน
สร้างความกังวลให้กับผู้ที่ต้องบริโภคน้ำประปา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้แนะนำวิธีกำจัดความเค็มเพื่อสุขภาพที่ดี
นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เปิดเผยว่า ช่วงเดือนมกราคม 2564 ถึงปัจจุบัน พบว่า คนกรุงเทพฯ
และเขตปริมณฑลประสบภาวะน้ำประปาเค็ม
สร้างความกังวลให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องบริโภคน้ำประปาโดยไม่ผ่านเครื่องกรองน้ำ
ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นสาเหตุของน้ำประปาเค็มเกิดจากสภาวะภัยแล้งและมวลน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติทำให้น้ำเค็มขึ้นมาถึงจุดรับน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปาส่งผลให้แหล่งน้ำผลิตประปามีความเค็มเกินมาตรฐาน
โดย วศ.
ได้ทดลองเก็บตัวอย่างน้ำประปาภายในกรมฯ มาตรวจหาปริมาณคลอไรด์ เมื่อวันที่ 3 และ 8 กุมภาพันธ์
2564 พบว่ามีค่าคลอไรด์เท่ากับ 345 และ
271 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่ามาตรฐานที่กำหนดของน้ำบริโภคจะต้องมีค่าคลอไรด์สูงสุดไม่เกิน
250 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งโทษของการบริโภคน้ำเค็มนั้นไม่มีอันตรายต่อคนทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ
เนื่องจากในชีวิตประจำวันเราได้รับคลอไรด์จากการรับประทานอาหารมากกว่าในน้ำดื่มแต่จะมีผลกระทบเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ
โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคทางสมอง
พร้อมกันนี้ วศ.
ได้แนะนำวิธีกำจัดความเค็มจากน้ำประปา ซึ่งประกอบด้วย 3 วิธี คือ
1. การกลั่น (Distillation) สามารถกำจัดทั้งคลอไรด์และของแข็งที่ละลายน้ำได้
2. การกรองด้วยระบบ RO (Reverse Osmosis) สามารถกำจัดคลอไรด์โดยการใช้แรงดันน้ำผ่าน membrane ระบบ RO นี้ เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสารต่าง ๆ ออกจากน้ำโดยเฉพาะสารที่มีขนาดเล็กมาก เช่น โซเดียมไอออนและคลอไรด์ไอออน
3. Deionization หรือขบวนการขจัดไอออน สามารถกำจัดคลอไรด์โดยการดูดซับด้วย anion-exchange resin ซึ่งสามารถดูดซับแอนไอออนตัวอื่นได้ด้วย เช่น ซัลเฟต ถ้ามีซัลเฟตในน้ำตัวดูดซับจะจับกับซัลเฟตได้ดีกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซับคลอไรด์ลดลง การต้ม (Boiling) การดูดซับด้วยคาร์บอน (Carbon Adsorption Filters) และ Water Softener ไม่สามารถกำจัดคลอไรด์ได้
ทั้งนี้ผู้ประกอบการ
และประชาชนสามารถติดตามรายงานคุณภาพน้ำประปารายวันในพื้นที่ กทม.
นนทบุรีและสมุทรปราการ ผ่านทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ
ของการประปานครหลวงได้เพื่อเตรียมสำรองน้ำสำหรับดื่มไว้ล่วงหน้า
เพราะในช่วงเวลาของแต่ละวันความเค็มของน้ำจะแตกต่างกัน หรือส่งมาทดสอบได้ที่ วศ.
เพื่อทดสอบหาปริมาณคลอไรด์ในน้ำ
ขอขอบคุณ
ข้อมูลจาก:
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, กรมวิทยาศาสตร์บริการ
ภาพบางส่วนจาก:
Freepik
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น